30 ธันวาคม 2567 หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวันฉบับสุดท้าย ของ 'หนังสือพิมพ์สากล' ไหลออกมาจากแท่นพิมพ์ ก่อนจะตามมาด้วยหน้ากระดาษเปล่า มันคือการล้างแท่นพิมพ์ เป็นหนึ่งในขั้นตอนเริ่มต้นของการปิดแท่นพิมพ์ บ่งบอกว่าแท่นพิมพ์นี้กำลังจะปิดตัวลงตลอดไป
ปีที่ 69 ของหนังสือพิมพ์สากล หรือ 'ชื่อ เจี้ย ยื่อ เป้า' หนังสือพิมพ์จีนรายวัน ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์เป็นฉบับสุดท้าย นั่นคือฉบับของวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ก่อนจะเลิกกิจการ ปิดตำนานหนังสือพิมพ์จีนรายวัน 1 ใน 6 แห่ง ของประเทศไทย
‘ชื่อ เจี้ย ยื่อ เป้า’ เป็นหนังสือพิมพ์จีนรายวัน ก่อตั้งโดยนายชิน โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ ตั้งแต่ปี 2498 โดยได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ แต่เดิมเนื้อหาหลักจะเกี่ยวกับการสนับสนุนแนวคิดต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และแนวคิดการเมืองทางฝ่ายขวาเป็นหลัก
ต่อมาเกิดรัฐประหารเมื่อปี 2500 พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก ก็ลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ ทำให้เกิดการโอนสิทธิ์ในทรัพย์สินขึ้น ทำให้กลุ่มพ่อค้าคนไทยเชื้อสายจีนที่ให้การสนับสนุนไต้หวัน ได้ระดมทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการต่อ

ต่อมาทางการไต้หวัน ได้ส่งอดีตเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย มาเป็นประธานหนังสือพิมพ์ในปี 2518 ท่ามกลางการปิดกั้นข่าวสารที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างมากในช่วงเวลานั้น ‘หนังสือพิมพ์สากล’ จึงเป็นหนังสือพิมพ์จีนในประเทศไทยเพียงฉบับเดียว ที่มีข้อมูลข่าวสารที่มาจากหนังสือพิมพ์ในประเทศจีนถึง 4 ฉบับ
ในปี 2529 Taiwan United Daily News ได้เข้ามาซื้อกิจการของหนังสือพิมพ์สากล และส่งทีมงานมืออาชีพจากไต้หวัน เข้ามาจัดระเบียบการดำเนินงานภายในบริษัท มีการเพิ่มการนำเสนอข่าวจากจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น
ผลจากการที่ United Daily News ได้ควบรวมกิจการหนังสือพิมพ์จีนในประเทศต่าง ๆ เช่น อเมริกา แคนาดา ยุโรป และอินโดนีเซีย ทำให้หนังสือพิมพ์สากลได้เปรียบในแง่การนำเสนอข่าวสารที่กว้างขวางครอบคลุมหลากหลายประเทศ
“สมัยก่อนยุคที่หนังสือพิมพ์รุ่งเรือง เรามีตัวแทนกระจายหนังสืออยู่ทุกภาค เหนือ กลาง ใต้ แล้วเราก็ส่งไปขายในประเทศเพื่อนบ้านเราด้วย พอพิมพ์เสร็จเราก็ส่งขึ้นเครื่องบินไปขายที่พม่า” หัวหน้าสำนักพิมพ์ ผู้ไม่ประสงค์เปิดเผยนามด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย กล่าว
“เมื่อก่อนหนังสือพิมพ์ภาษาจีนรุ่งเรืองมาก เพราะมีคนจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ในไทยเยอะมาก จีนเองก็ปิดประเทศ ลูกหลานของคนจีนที่มาอยู่ที่ไทย ก็อยากรู้ข่าวสารจากในจีน เรามีสายข่าวในประเทศจีน ที่คอยส่งข่าวมาให้เรา แล้วนักเขียนของเราก็เอามาเขียนลงหนังสือพิมพ์ให้คนได้อ่านเพื่อรับรู้ข่าวสารจากแผ่นดินใหญ่”

อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่คนอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น อาจจะเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอ่านหนังสือพิมพ์น้อยลง แต่ปัจจัยหลักคือ คนที่ต้องการอ่านข่าวภาษาจีนในประเทศไทยมันน้อยลงแล้ว เพราะลูกหลานคนจีนสามารถอ่านภาษาไทยได้ ความต้องการที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีนก็เลยน้อยตามลงไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ หนังสือพิมพ์สากลเอง แม้เคยผ่านการพยายามปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอดมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วจึงได้ตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติกิจการ
ความเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อจีนในไทย
อ.วิโรจน์ อาลี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้หนังสือพิมพ์ไม่ได้ไปต่อ คือการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี จากการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่เป็นกระดาษสู่การอ่านออนไลน์ซึ่งมันหลากหลายมากขึ้น การดิสรัปชันนี้ส่งผลให้ตัวหนังสือพิมพ์ไม่คุ้มทุนอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น อ.วิโรจน์ ชี้ว่า สื่อภาษาจีนในไทยยุคใหม่ยังแอบอิงกับจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น ต่างจากหนังสือพิมพ์รุ่นเก่าอย่างหนังสือพิมพ์สากล ที่มีรากฐานเดิมมาจากการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเจ้าของคือไต้หวัน

"แม้แต่ในประเทศเราก็ยังมีสำนักงานของสื่อมวลชนจีนแผ่นดินใหญ่มาตั้ง มีการจ้างทีมสื่อไปทำข่าวออกเผยแพร่ มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่า จีนเขาต้องการออกมาเผยแพร่ข่าวสารในภาษาที่หลากหลายมากขึ้น ทำข่าวท้องถิ่นเพื่อตอบสนองคนจีนในไทย หรือทำเรื่องเมืองจีนเข้ามาให้คนไทย ให้ทัศนคติคนไทยมีต่อจีนในทางที่ดีขึ้น" อ.วิโรจน์ กล่าว
"และยิ่งการเข้ามารุกตลาดของสื่อจีนแผ่นดินใหญ่ยิ่งทำให้คนอ่านข่าวจากจีน ก็เปลี่ยนมารับข่าวจากจีนแผ่นดินใหญ่ และสามารถเสพข่าวได้ง่ายขึ้น เปิดโทรทัศน์ หา YouTube ก็ทำได้รวดเร็วกว่า ใช้เวลาน้อยลง"
ปัจจุบัน ยังเหลือหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในไทยอีก 5 ฉบับ ได้แก่ ซิงเสียนเยอะเป้า เกียฮั้วตงง้วน ตงฮั้ว ซิงจงเอี๋ยน และเอเชียนิวส์ไทม์
ในขณะที่ก็เกิดสำนักข่าวออนไลน์ภาษาจีนอีกจำนวนมากเช่น สำนักข่าว Thailand Headlines และ สำนักข่าว Vision Thai ซึ่งมีกลุ่มผู้อ่านหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทย
บางส่วนก็เป็นสำนักข่าวจากจีนแผ่นดินใหญ่โดยตรงอย่าง สำนักข่าว China News Service




จรณ์ ปรีชาวงศ์ ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน